Thursday 23 October 2014

Touring เส้นทางลอยฟ้า น่านเหนือ ตอน1

23 ต.ค. 57  เส้นทางลอยฟ้า น่านเหนือ3+1 ตอน1 (เขียนไว้ที่ thaimtb.com เมื่อกลับจากเดินทางแล้ว)

ทริปนี้วางแผนไปกันสองหมุ่มน้อย มีเวลาสามคืน เลยวางเส้นทางไว้แบบจัดเต็ม ถือว่าคนน้อย ปัญหาน้อย ข้อจำกัดน้อย เลยเลือกน่านเหนือเพราะไม่เคยไป ได้ยินแต่คำล่ำลือว่าเขาที่น่าน สวยแต่โหด แดดก็ร้อนทะเลอายกันไปเลย แต่เส้นทางไปดึงดูดสาวน้อยมาได้อีกคน แล้วก็ยังมีแถมเพื่อนใหม่ระหว่างทางอีกหนึ่ง สนุกสนานแฝงความโหดได้พอดี ถูกใจกันท่วนหน้า
โดยวางโปรแกรม บุกตลุยน่านเหนือตามประสาคนประมาทขุนเขาดังนี้
วันที่1 ทุ่งช้าง - เฉลิมพระเกียรติ - บ้านเปียงซ้อ (วันนี้ 110 กิโล ) ทำไม่ได้แน่นอน แต่อยากลอง บ้านเปียงซ้อ สะจุก-สะเกียง เป็นชื่อที่เพิ่งรู้จักและมันช่างท้าทายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ 11 กิโลสุดท้าย จากเส้นทางกูเกิ้ล มันจะขึ้นจากระดับ 600 เมตร ไปสุดที่ 1500 เมตร ขึ้นล้วนๆ กับถนนลูกรัง
วันที่2 รอดูสภาพหลังจบวันแรก ถ้าไปไม่รอดก็จะเข็นกันไปนอนเปียงซ้ออีกวัน ถ้าไปรอดจะนอนแถวบ่อเกลือ
วันที่3 บ่อเกลือขึ้นไปนอนจุดชมวิวดอยภูคา 
วันที่4 ดอยภูคา ลงไปเที่ยวในตัวอำเภอปัว และมาขึ้นรถกลับที่ ท่าวังผา (วันนี้คงจะสบายๆ)
สมาชิก 3 คน รับสภาพทุกเส้นทาง ฝนตก แดดออก โบกรถได้ถ้ามีปัญญา นอนข้างทาง กลางป่า บนดอย ต้องพร้อมหมด อาหารสำรอง น้ำดื่ม อุปกรณ์ต่างๆ พร้อม ทุกคนยอมรับได้ ก็พร้อมลุยกันได้เลย

22 ตค.57 เลิกงาน นัดเฮง 6 โมง บีทีเอส ลาซาล ลงหมอชิต และปั่นไปอีกนิดเพื่อจะไปสมบัติทัวร์ ถึง 19.20 น. รถทัวร์ออก 19.30 ปั่นกันหน้าตั้ง ไปถึงเฉียดฉิว และรถทัวร์ช้าไป 10 นาที ก็เลยแพ็คจัดจักรยานกันสบายๆ ได้ลุ้นกันตั้งแต่กรุงเทพเลย ถ้าพลาด บีทีเอส สักสองเที่ยวงานเข้าแน่ๆ

รถวีไอพี สมบัติทัวร์ ราคา 713 บาท ค่าระวางจักรยาน คันละ 100 เป็นรถลีมูซีนรุ่นใหม่ ชั้นเดียว ที่เก็บของเยอะ แต่ช่วงเทศกาล คนกลับบ้านกันเยอะ แต่ละคนก็มีสัมภาระกันเต็มหมด ทำเอาช่องเก็บของแน่นไปเลย เรื่องจักรยานถลอกไปบ้างคงต้องทำใจถ้ารักจะเที่ยวแบบนี้ วันนี้รถพวกเราสามคันถือว่าแน่นกำลังดี แต่ถ้าเกินกว่านี้คงต้องยัดเยียดแล้ว ถ้าไปกันหลายคันควรไปแต่วันจะได้รีบจัดรถก่อน สมบัติทัวร์เรานั่งไปแม่ฮ่องสอน หรือเชียงใหม่ทุกปี ราคาสูงแต่บริการดี นั่งรถวีไอพี นอนหลับสบาย อีกวันก็มีแรงปั่นกันเต็มที่ กลับบ้านก็ไปทำงานต่อเลย หลับเพลินๆเที่ยงคืน แวะให้กินข้าวต้มที่พิษณุโลก เส้นทางนี้ผมไม่เคยนั่ง แต่สูงข้าวต้มเส้นทางเชียงใหม่ไม่ได้เลย กับข้าวหลากหลายกว่าเยอะมาก
ตลาดเช้าที่ทุ่งช้าง ไม่ค่อยมีของขายเลย วันนี้เป็นวันปิยะมหาราช เห็นข้าราชการแต่งชุดเต็มยศเดินกันเต็มไปหมด เราย้อนขึ้นเนินไปปั้มบางจากเตรียมรถ จัดกระเป๋าพร้อมเดินทาง เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตากัน ก่อนมาซื้อของที่ 711 ร้านสุดท้ายของถนนเส้นนี้ หลังจากนี้เราจะไม่ได้เห็น 711 อีกสี่วันเต็ม
ลงเนินมาอีกหน่อย เจอร้านข้าวจัดได้เข้ากับบรรยากาศ เปิดแต่เช้าหอมฉุย รีบแวะเติมพลังกันทันที มีก๊วยเตียวหมู ชามละ 30 อาหารตามสั่ง กระเพราหมู+ไข่เจียว จานละ 35 อร่อยมาก ราคาถูกกว่ากรุงเทพอีก น้ำดื่มเย็นๆ ฟรี เติมกันเต็มกระติก ชักหลงรักคนน่านซะแล้ว
ชื่อร้าน ป้าตุ่น ใครไปทุ่งช้างก็แวะเลยนะครับ เลยตลาดมาหน่อยเดียว อย่าไหลเพลินจะเลย


หลังจากเติมพลังเต็มถังปาเข้าไปแปดโมงกว่า ก็เริ่มออกเดินทาง เริ่มด้วยเนินซึมๆ ค่อยๆ ขึ้นทีละน้อย สองข้างทางเป็นทุ่งนาสวยๆ สวยจนขี่ไปจอดไป การเดินทางหน้าฝนได้เจอทุ่งนาสวยๆแบบนี้ตลอด
สายๆจะเก้าโมงแล้วยังมีหมอกจับบนยอดเขา อากาศเย็นสบาย วันนี้ฟ้าปิด เราไม่ต้องตากแดดแต่คงถ่ายรูปไม่สวยสักเท่าไหร่ นาข้าวปลายฝนเขียวสะอุ่มหลายๆ แปลงออกรวงสีเหลืองอร่าม ดูแล้วเมืองไทยอุดมสมบูรณ์มาก

 ผ่านไปสักยี่สิบกว่าโลเริ่มเจอเขาสูงๆ กันบ้างแล้ว 
วิวสวย ถึงจะไม่ใช่ป่า แต่เป็นไร่ข้าวโพดสะส่วนใหญ่ แต่ก็สวยดีนะ แต่วิวป่าไม่สวย จอดถ่ายรูปกันเยอะ พักไปในตัว นานๆ มีรูปตัวเองที ทริปนี้ถอดบันไดคลิตทิ้งใส่บันไดแว้นดีกว่า สบายทีนกว่ากันเยอะเลย
สลัดคราบสาวแบ๊งค์ scb ตัดสินใจขอมาซิ่งแบบสายฟ้าแลบเลย
 เขาสวยๆแบบนี้แท้จริงแล้วเป็นสภาพป่าเสื่อมโทรม โดนบุกรุกทำไร่หมด กลายเป็นเขาหัวโล้น มาเที่ยวหน้าฝนแบบนี้สวยที่สุด
อำเภอปอน เป็นอำเภอสุดท้ายที่มีรถเมล์ประจำทางวิ่ง หมดนี้จะมีแต่รถตู้บริการแล้ว ผมกำลังขี่เพลินๆ มีไอ้หนุ่มที่ไหนไม่รู้ โผล่มาสวัสดี ควบ soma สี่กระเป๋าบินเดี่ยวมาเลย สอบถามได้ความว่าจุดหมายเดียวกัน แต่จะไปนอนอำเภอเฉลิมพระเกียรติเพราะว่า มีคนบอกว่าที่ๆเราจะไปกันมันไม่มีทางไปถึงในวันนี้ ให้ไปตั้งต้นที่อำเภอฯตอนเช้า ไต่ถามกันสักพักก็ซิ่งหายลับไปเลย ถ้าจะแรงไม่ใช่เล่น ขนาดขี่ไล่ตามพวกเรามาได้โดยไม่รู้ตัวเลย

เส้นทางนี้ เป็นเส้นทางขนวัตถุดิบไปลาวเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าหงสา จะมีด่านตรวจอยู่ รถสิบแปดล้อเยอะมากจอดรอ พอเราผ่านไปสักพักรถบรรทุกเหล่านี้เริ่มออกเดิมทางกันพอดี และยี่สิบกิโลก่อนเข้าด่านห้วยโกร๋นเป็นเขาชันหักศอก พับขึ้นพับลง เราต้องวิ่งไปกับรถเหล่านี้หวาดเสียวมาก มีอยู่โค้งหนึ่ง หมูอยู่โค้งใน รถคันหนึ่งแซงขึ้นเนินหักศอกมา อีกคันกำลังวิ่งลง เลยหักหลบกัน ล้อหลังทั้งแผงเบียดหมูเราหัวทิ่มลงร่องน้ำข้างทาง ดีที่เป็นหญ้า และเป็นช่วงขึ้นเขาเลยขี่ช้าๆ ไม่เจ็บ ไม่พัง เท้าชี้ฟ้าติดอยู่กับบันได ก่อนจะไปฉุดขึ้นมาเดินทางกันต่อ คงต้องระวังกันมากหน่อย ต้องปล่อยให้มันไปก่อน
 โดนสิบแปดล้อเบียดร่วงหัวทิ่มลงร่องน้ำข้างทางยังยิ้มระรื่น ของแบบนี้ใครปอดนอนอยู่บ้านสบายกว่า


อะไรที่มันผ่านแล้วก็ปล่อยผ่านไป 
กลับมาสนุกกับเส้นทางกันต่อ ระยะทาง จากทุ่งช้าง มาอำเภอเฉลิมพระเกียรติ 50 กิโล จะขึ้นเขาชันมาก ยาวประมาณ 7 กิโลก่อนถึงแยกไปด่านห้วยโกร๋น เป็นเส้นทางข้ามไปเมืองเงิน สปป ลาว จากแยกเข้าอำเภออีกห้ากิโล ก็เริ่มมีขึ้นๆ ลงๆ สนุก หายเหนื่อย ก่อนจะลงชันๆ ไปเจอร้านชำร้านแรกให้เราพักดื่มน้ำกัน ร้านชำเล็กๆ ปลายทางลงเขา มีของขายหลากหลายมาก มีไอติมวอลด้วย ทุกอย่างราคาเท่าฉลาก ไม่มีการบวกเพิ่มเลย วันที่เราไปเจอลูกสาวเจ้าของร้าน อายุย่างสามสิบ ไปสอบติดครูอยู่ชลบุรี อีกสองปีจะย้ายมาสองที่โรงเรียนบ้านเกิด ช่วงนี้โรงเรียนปิดเทอมเลยกลับมาช่วยแม่ขายของ หน้าตาน่ารัก เรียบร้อย อัธยาศัยดีมาก เราถือโอกาสชวนคุย จนได้ความว่ามีจักรยานมาก่อนเราคันนึง แต่บอกจะข้ามไปลาว แล้วไปเข้าไทยที่หนองคาย ใส่เสื้อสีน้ำเงินด้วย หรือว่าจะเป็นไอ้นพ ที่เราเจอกลางทาง คงเปลี่ยนแผนไปแล้ว 

เราเลยสอบถามเส้นทางหลังจากนี้ไป เราจะต้องข้ามเขาหลายลูกใหญ่ๆ เข้าป่า ไม่มีหมู่บ้าน หมู่บ้านสุดท้ายคือ ห้วยทรายขาว อยู่ไม่ไกลแค่ 5 กิโลหลังจากนั้นก็เริ่มเข้าป่า ขึ้นเขากันตลอด ไปอีกประมาณ 20 กิโล ถึงจะเจอหมู่บ้านกิ่วจัน วันนี้ยังไงก็ไม่ถึงเปียงซ้อ แค่หลุดไปถึงกิ่วจันก็บุญโขแล้ว พวกเราได้ฟังแล้วถึงกับหิวข้ว ไปหาร้านข้าวก่อนดีกว่า ค่อยว่ากัน พักเหนื่อยเติมเสบียงกันเสร็จ ได้ความว่าเพิ่งจะแต่งงาน เลยไม่ได้ขอถ่ายรูปเลย

อำเภอนี้มีร้านอาหารแค่สองร้าน คือ ร้านก๊วยเตียว เลยโค้งหน้านี้ไปหน่อยเดียว ถ้าร้านอาหารตามสั่งไปอีกประมาณสามกิโล เลยต้องกินก๊วยเตียวกัน ร้านก๊วยเตียวร้านเดียวของที่นี้ มีส้มตำด้วย เรากินก๊วยเตียวน่องไก่ น่องใหญ่ๆ 30 บาท น้ำเย็นๆ ฟรีอีกละ แม่ค้า ลูกค้าในร้านก็ต้อนรับพวกเราอย่างดี ไต่ถามที่มาที่ไปกัน ช่วงวันหยุดยาวพบว่ามีคนที่นี่มาทำงานกรุงเทพกลับไปบ้านเยอะ อัทธยาศัยดี พูดกลางชัดแจ๋ว แต่งตัวสวยๆ นั่งคุยกันในร้าน นึกดีใจแทนชาวบ้านแถวนั้นจริงๆ ดูมีชีวิตชีวา อยู่อย่างพอเพียง และมีการศึกษา มีแต่รอยยิ้มเต็มไปหมด
พออิ่มท้อง ก็ปาเข้าไปบ่ายโมงครึ่งพอดี เราต้องตัดสินใจจะไปต่อ หรือจะนอนที่นี่ ทุกคนเห็นฟ้องกันว่า เวลาเหลือตั้งเยอะ จะอยู่ไปทำไป ไปได้แค่ไหนก็แค่นั้น อาหาร น้ำดื่ม อุปกรณ์ตั้งแค๊มเราพร้อม มืดตรงไหนก็นอนตรงนั้นเลยแล้วกัน หมู่บ้านสุดท้ายแค่ 5 กิโล ไปนอนในป่ากันดีกว่า 

สรุปว่าไปครับ เราขี่กันได้ครึ่งชั่วโมงก็เลยหมู่บ้านสุดท้ายมา เห็นเทือกเขาสูงใหญ่อยู่เบื่องหน้า เตรียมตัวเตรียมใจพร้อม ก็เห็นไอ้นพพุ่งลงมาหาพวกเราอย่างรวดเร็ว... อ้าว นึกว่าไปลาวซะแล้ว เกิดอะไรขึ้นถึงได้ย้อนกลับมา

ปรากฏว่าคิดเหมือนกัน ไม่รู้จะอยู่ที่อำเภอไปทำไมเลยตัดสินใจขึ้นเขาไป ข้ามไปได้สักสามกิโล เจอรถเครื่องย้อนกลับมา บอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทำงานแถวสะจุก ขอเตือนด้วยความหวังดี ให้ย้อนกลับไปที่อำเภอ เนื่องจากเกรงจะเกิดอันตราย ขนาดรถเครื่องยังวิ่งสามสี่ชั่วโมงกว่าจะถึง แล้วจักรยานข้าวของพะรุงพะรังมาคนเดียวจะไปได้อย่างไร ด้วยความเกรงใจ เจ้าถิ่นมาเตือนเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นเดือดร้อนทั้งตัวเองและคนแถวนั้น เลยต้องจำใจย้อนมาหาที่นอนในเมือง โชคดีมาเจอพวกเราพอดี รวมกันเป็นสี่คน คงไม่น่าอันตรายแล้วนะ ก็หันจักรยานกลับ ร่วมขบวนกันต่อไปเลย

สามโมงกว่าข้ามเข้ามาได้หนึ่งลูกใหญ่ สี่ห้าพับกว่าจะเปลี่ยนเหลี่ยมเขา แล้วก็ลงยาวๆ หนึ่งรอบ เวลาลงยาวๆ หลังๆ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะรู้ว่ามันลงลึก เดียวก็ต้องขึ้นชันมาก ลงกันจนสุดก็เห็นเขาลูกใหม่ ใหญ่กว่าเก่าอีกสี่ห้าพับแต่ไกลรออยู่ตรงหน้า เวลาล่วงไปสี่โมงกว่า คืนนี้ได้นอนในป่าสมใจแน่ ผมอยู่ท้าย สองหมุ่มอยู่หน้าหายไปกันหมดแล้ว เหมือนสวรรค์ประธาน ได้ยินเสียงรถกะบะมาคันแรก และคงเป็นคันเดียวบนเส้นทางสำหรับวันนี้ ไม่ต้องคิดแล้ว ตะโกนบอกหมู โบกเลย แวบเดียวได้ผล กะบะวีโก้จอดทันที คนขับลงมาแต่งชุดข้าราชการเต็มยศ ข้าราชการเป็นที่พึ่งของประชาชนจริงๆ แป๊ปเดียวนพกระโดดขึ้นไปหลังรถเรียบร้อย ถอดของถอดล้อหน้ายกขึ้นรถกันทันที เดียวท่านจะเปลี่ยนใจไม่ให้ไป รถจักรยานสี่คัน ของอีกกองใหญ่ก็ไปอยู่หลังรถแบบเต็มๆ โดยมี นพคอยดูอยู่ด้านหลัง พวกเราสามคนโดดไปนั่งในรถกันสบาย ได้ความว่าท่านที่ช่วยเรา เป็นถึงกำนันที่บ้านขุนน่าน ตอนเช้าเข้าไปต้อนรับผู้หลักผู้ใหญ่ทั้ง ลาว พม่่า เวียดนาม มางานพิธีวันปิยะมหาราชในตัวอำเภอ เพิ่งจะส่งเจ้าหน้าที่ลาวเสร็จ กำลังจะกลับบ้านที่ขุนน่าน พวกเราเลยสบายไป ท่านไปถึงไหน เราลงตรงนั้นแหละ ง่ายๆ ตรงไปตรงมา 
ที่แถบนี้สมัยก่อนเป็นพื้นที่สีแดง พวกคอมมูนิสต์ทั้งนั้น มาจากเหตุกรณ์เดือนตุลา ท่านเองก็เติบโตมาจากที่นี้ เป็นกำนันตั้งแต่รุ่นปู่สืบทอดตำแหน่งกันมา คนในวงการเมืองดังๆ เป็นสหายเก่ากันทั้งนั้น ยังไปมาหาสู่กัน เมื่อคอมมูนิสล่มสลายไป ชาวบ้าน กระเหรี่ยงก็ถางป่าปลูกพืชไร่เลื่อนลอยกันเยอะมาก เพราะไม่ใช่เขตอุทยาน ทำให้ป่าน่านเหนือเทื่อมโทรมลงอย่างมาก จนทางมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ฯลฯ เข้ามาให้ความรู้กับชาวบ้าน จนเดียวนี้ทุกอย่างดีขึ้น ตัวกำนันเราให้เราฟังได้ละเอียด ชัดเจนรู้แจ้ง เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการปิดทองหลังพระ ซึ่งผมก็เพิ่งกระจ่างเมื่อได้ฟังจากท่านวันนี้เอง โดยเริ่มตั้งแต่ให้ความรู้ชาวบ้าน ให้เข้าอยู่ได้ กินอิ่มเสียก่อน ถึงจะให้หยุดถากถาง และหันมาช่วยทางการอนุรักป่า และเริ่มปลูกป่าด้วยใจรัก ใช้เวลาหลายปี ท่านเองก็เป็นผู้นำร่องโครงการ ไปเป็นวิทยากรอบรมมาทั่วประเทศ จนถึงเมืองนอกเมืองนา โดยมีหลักการที่ยึดถือกัน ปิดทองหลังพระคือ ไม่ใช่แค่ปิดทองหลังพระอย่างที่เราๆ พูดกัน มันต้องปิดมันเรื่อยๆ ปิดมันสมั่ำเสมอ ไม่ต้องไปสนใจอะไรปิดมันเข้าไป สักวันทองมันก็จะล้นออกมาด้านหน้าเอง เพราะข้างหลังมันเต็มหมดแล้ว เหมือนการปลูกป่า ปลูกมันไป ตรงไหนก็ปลูก ห่างไกลแค่ไหนก็ปลูก ไม่มีใครรู้ใครเห็นก็ปลูกมันไป เมื่อมันโตมาก็จะเป็นป่าที่สวยงามเอง จริงๆ ท่านให้ความรู้ผมเยอะมาก เรียกว่าเปิดกระลาให้ผมได้เลย แต่คงเอามาลงให้ไม่หมด ฟังกันเพลินๆ อ้าวทำไมข้างหลังเงียบไป สลบไปหมดแล้ว 

ระหว่างที่ขึ้นรถนั่งนับยอดเขาใหญ่ๆ ได้ประมาณสี่ห้าลูก ขึ้นสุด ลงสุด ทั้งนั้น เป็นป่าทึบ ไม่มีชาวบ้านปลูกอ้อย ไม่มีอะไรเลย จนถึงสามแยก ซึ่งแยกซ้ายไปบ้านน้ำรี และภูพยัค ซึ่งเคยเป็นฐานที่ตั้งของคอมมูนิส ปัจจุบันเป็นอนุสรณ์สถาน สวยงาม น่าไปเที่ยว พวกเราแยกขวามาทางบ่อเกลือ แล้วก็เจอ บ้านกิ่วจัน หมู่บ้านแรกตามคำบอกเล่า แล้วเผลอหลับไป ได้ยินเสียงกำนันบอก ถึงบ้านแล้ว พวกท่านจะลงไหนกันครับ 

อ้าว หมดระยะซะแล้ว ดูนาฬิกา ห้าโมงครึ่งจะหกโมงแล้ว อยากจะนอนที่บ้านท่านซะจริงๆ ท่านแนะนำว่า ให้เราขี่ไปอีกสักสิบกิโล จะเจอศูนย์เพราะต้นกล้า ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง สามารถไปขอพักได้ เส้นทางไม่ค่อยมีเขาแล้ว และแนะนำว่า ถ้ามีเวลาอยากขี่ให้สนุก ควรเริ่มจากอำเภอเฉลิมพระเกียรติ เช้าๆ จะออกจากเขาเย็นพอดี เข้าไปนอนที่ภูพยัคก่อน อีกวันค่อยไปสะจุก จะดีกว่า
บ้านกำนันมงคล ตำบลขุนน่าน แยกไปจากถนนสายหลักนิดเดียว ขี่เลยไปเข้าอีกทางได้เลย แต่ทางลงชันน่ากลัวมาก ชาวบ้านต่างมาดูกันด้วยความสงสัย มาจากไหนกันหว่า ขี่ลงไปกันได้หน่อย ลงจูงดีกว่า ไม่อยากกลิ้งโชว์ชาวบ้าน

ออกจากบ้านกำนันมาอากาศเริ่มเย็นฝนตกพรำๆ เราใช้เส้นทางหมายเลข1081 มีเส้นเดียว วิวสองข้างทางเปลี่ยนจากภูเขาสูงๆ เป็นหุบเขา เราขี่จักรยานขนานไปกับสายน้ำเล็ก ที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำน่าน ทางเป็นเนินเตี้ยๆ ขี่สบาย แต่พื้นถนนเสียหมดแล้ว มองออกไปจะเห็นทิวเขาขนาบพวกเราไปตลอดทาง เป็นไร่ข้าวโพดแนวตั้งซะส่วนใหญ่ จะหาป่าแบบทางแม่ฮ่องสอนแทบจะไม่มี ผ่านไปสักสองสามเนินกำลังเมื่อย ฟ้าเริ่มมืด ฝนก็ทำท่าจะตกแรงขึ้น มูลนิธิอยู่ไหนละ หรือว่าจะเจอกิโลแม้วเข้าซะแล้ว ก่อนขึ้นเนินสูงเลยแวะถามชาวบ้านข้างทาง กำลังตัดหญ้าอยู่ จึงทราบว่าขึ้นเนินนี้ไปก็ถึงแล้ว โชคดีจริงๆ


ภาพนี้จะเห็นถนนวิ่งตัดขึ้นไปบนยอดเขา คือเส้นที่ผมเล็งไว้จะไปบ้านเปียงซ้อ ขึ้นอย่างเดียว 11 กิโล แต่วันนั้นเหนื่อย ขี่เลยไม่ได้สักเกต เพิ่งมารู้เอาตอนถึงบ้าน แต่ถ้ารู้ตอนนั้นก็คงเปลี่ยนใจไม่ไปเหมือนกัน มันขึ้นชันน่ากลัวมาก ทางก็ไม่ดีด้วย

ถึงศูนย์ฯ ก็ไม่ต้องพิธีรีตรองแล้ว ฝนมามีด ฟ้าก็มืด แต่ละคนเห็นสภาพลงจากจักรยานก็รู้ทันที่ว่าอยากได้อะไร เจ้าหน้าที่ศูนย์ เป็นวัยรุ่นในหมู่บ้าน รีบมาต้อนรับพวกเรา จัดหาที่นอน พาไปห้องน้ำ มีแยกเป็นสัดส่วน สอบถามความต้องการต่างๆ มีบริการน้ำร้อน กาแฟ น้ำดื่ม ครบครัน หิวก็ไปหากินได้ที่โรงอาหารเลย ศูนย์แห่งนี้ผลิตต้นกล้า และเมล็ดพันธ์พืชผักแจกจ่ายให้คนในพืนที่ไปปลูก อยู่ภายใต้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง จะมีผู้ใหญ่ขึ้นมาดูงาน ฝึกอบรมกันบ่อย เจ้าหน้าที่ของศูนย์เองก็ไปเป็นวิทยากรให้ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วทุกภาคของไทย จึงมีความพร้อมในเรื่องทีพัก การดูแลผู้มาเยือน แต่ไม่ใช้ที่ท่องเที่ยว หรือให้มาพักโฮมเสตนะ 
 



พวกเราได้ระเบียงด้านหลังทีทำการทั้งแผง มีผ้าใบคลุมกันฝน สบายเลย ไม่ต้องกางเต้น หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็เดินไปร้านชำข้างๆ มีอยู่ร้านเดียว ได้น้ำสีมาคนละกระป๋อง ผ่านโรงอาหารเห็นน้องๆ สามคนกำลังกินข้าวเย็นกันก็เลยขอไปร่วมวงด้วยคนซะเลย ไม่ต้องทำกับข้าวเอง ง่ายดี อิ่มสบายท้องครับ

อิ่มแล้วก็สังสรรตามประสาคนคอเดียวกัน ได้ความว่า น้องนพคนนี้ เป็นถึงช่างซ่อมเครื่องบินของการบินไทย ประสบการณ์โชกโชน ทั้งจักรยาน เดินป่า ผจญภัยเอาหมด แปลกดีเหมือนกันที่มาเจอคนคอเดียวกันได้ เลยไปกันได้ดี สรุปว่าเราสี่คนจะร่วมขบวนกันไปอีกสองวัน ไปขึ้นเปียงซ้อ สะจุกสะเกียง ด้วยกัน และคุยกันจนดึกก็แยกย้ายกันเข้านอน ฟังเสียงฝนกระทบกับผ้าใบ ดังแป๊ะๆ จนหลับไป

ต่อตอนที่2

No comments:

Post a Comment