23 ต.ค. 57 เส้นทางลอยฟ้า น่านเหนือ3+1 ตอน2
เช้าวันที่ 24 ตุลา 57 แปดโมงกว่าเตรียมออกเดินทาง กินอิ่ม ทั้งคาวหวาน ชากาแฟ เบียร์ นอนก็เต็มอิ่ม หน้าตาเบิกบานกันทั้งคณะ แต่แอบไปแวะโรงครัวจัดหนักกันคนละจาน ผมก็อัดข้าวเหนียวร้อนๆ ใส่ถุงไว้อีกสองถุง เที่ยงนี้รอดแล้ว
แปลงเกษตร ปลูกผักหลายชนิด ทั้งกินเอง และเพื่อเอาเมล็ดพันธ์ไว้แจกจ่ายชาวบ้านด้วย
เมื่อวานตอนลงเขา เจอหินลอยกระเป๋าหลังหมู ตาไก่หลุดไปหนึ่งอัน วันนี้เราต้องหาร้านซ่อมรถเครื่องเอาน๊อตมาใส่แทน ออกจากศูนย์ฯ นิดเดียวก็เจอร้าน เลยจัดการซ๋อมแซม พร้อมเอาน็อตสำรองไว้หนึ่งชุด ค่าเสียหายแค่ห้าบาท ต้องคะยั้นคะยอให้คิดเงินด้วย ช่างมีน้ำใจจริงๆ หลังซ่อมกระเป๋าเสร็จก็พร้อมลุยด้วยความมั่นใจ เพราะทางต่อจากนี้ไปไม่ธรรมดาแน่ๆ
สองข้างทางมันสวยมาก เราวิ่งระหว่างหุบเขา ขนานไปกับลำน้ำ ทุ่งนาตลอด เรียกว่าจอดถ่ายรูปกันทุกโค้ง
โค้งเอสสามพับ ดูจากข้างล่างน่ากลัวมาก แต่ขึ้นจริงๆแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว มองลงมาข้างล่าง เห็นจักรยานคันนิดเดียว สวยมาก
ความสุขที่ได้ไปช้าๆ เก็บความสวยงามไปตลอดทาง
สำหรับผู้เดินทางด้วยจักรยาน มิตรภาพระหว่างทางเกิดขึ้นได้ง่ายดาย
เขาหัวโล้น จินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้ามาหน้าร้อนจะน่าเกลียดขนาดไหน
ด.ช.อัญชัน คันเก่ง ตอนนี้โดนน้องพับเบียดตกกระป๋องไปซะแล้ว
เสือภูเขาเดิมๆยางใหญ่ก็เอามาขี่ได้ ถ้าใจอยากมา
ถึงแยก 11 โมง เวลาดี เลี้ยวมาแวะร้านน้ำ กินไอติมกัน แล้วก็ตุนสเบียง สอบถามเส้นทาง ฝนเริ่มตกพรำๆ แล้ว เรามีทางเลือกสองทางคือ นอนที่ศูนย์ฯสะจุก มีที่พัก สั่งทำอาหารได้ แค่ 4 โล ขึ้นล้วนๆ แล้วค่อยขี่รถเปล่าไปเที่ยวบ้านเปียงซ้อ หรือปั่นไปเปียงซ้อ 8 โล ขึ้นล้วนๆ เหมือนกัน แต่ไม่มีที่พักต้องอาศัยพักกับชาวบ้าน ด้วยความที่โดนขู่ไว้มาก ขอทดสอบทางแรกก่อน ถ้าขึ้นไหวก็แยกไปตัวเลือกที่สองเลย โดยเราจะไปกินข้าวเที่ยงกันบนนั้น ถ้าไม่ถึงอดกิน ลืมบอก คนขายน่ารักมาก ก่อนออกเดินทางยังหยิบแตงกวายักมาให้พวกเราไว้กินกันตายระหว่างทางด้วย
ออกจากหมู่บ้านทางเรียบๆ แค่โค้งแรกก็รับประกันความชันได้แล้ว รถยนต์ธรรมดาไปไม่ได้ ถ้านักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวที่นี่ต้องจ้างรถกระบะขึ้นไป
แต่โค้งแบบนี้สบายมาก ไม่ต้องเข็นอยู่แล้ว
วิวข้างทางสวย เขียวขจีจริงๆ
ชันไม่เท่าไหร่ เจอแบบนี้ไม่รอด ลงเข็นกันทั่วหน้า
ยิ่งสูงยิ่งสวย ไม่ผิดจริงๆ
ยังโหดไม่พอ เติมน้ำฝนเข้าไปอีก ซักพักฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ทางที่พอขี่ได้ก็ไม่สามารถแล้ว ลื่นมาก แม้แต่เดินก็ลำบาก เรื่องจะไปบ้านเปียงซ้อคงต้องล้มเลิก
ทางขึ้นศูนย์สะจุก ทางดีแต่ชันเหลือหลาย แล้วก็ขึ้นล้วนๆ ระหว่างเข็นตากฝนก็เจอต้นหม่อนข้างทาง ลูกดกเต็มต้น อวบดำน่ากิน พวกเราเลยจอดทึ้งกันกลางฝนอย่างเมามัน
ลูกหม่อน หรือภาษาปะกิต เรียก มัลเบอรี่ แถวบ้านเราลูกเล็กๆ เปรียวๆ น้ำไม่ค่อยมี แต่ต้นนี้ลูกใหญ่มาก อวบช่ำน้ำ หวานหอมมาก เด็ดกินกันจากต้นล้างด้วยน้ำฝนซะนานทีเดียว กว่าจะตัดใจจากไปได้
กินกันเพลินฝนยิ่งเทลงมาหนักขึ้น จนต้องใช้สองตีนยันพื้น มือดัน พร้อมหัวดุนถึงจะขึ้นได้ ทุลักทุเล รองเท้าก็ลื่น ถ้าพลาดมีหวังได้ลงไปเริ่มต้นใหม่แน่ๆ โดยเฉพาะใกล้ๆ ยิ่งชันมาก เข็นมาสักห้าโค้งก็เห็นค่ายทหาร แสดงว่าถึงแล้ว เราไปถึงประมาณเที่ยงครึ่งพอดี ถ้าไม่ไถลกินลูกหม่อนกันเที่ยงก็น่าจะถึงแล้ว หนึ่งชั่วโมงสำหรับสี่กิโล
รีบเข้ามาหลบฝนในศาลาฯ กันก่อน ที่หลับที่นอนค่อยว่ากัน ฝนตกหนักเกือบชั่วโมงจึงจะหยุด สงสัยทำไมหมูกับเจ้านพหายไปนาน แอบไปล้มต้นกล้วยเข้ามานี่เอง หลักฐานคามือเลย
กำลังคุยเพลินๆเจ้าบ้านรีบออกมาต้อนรับทันที ตัวใหญ่มาก เป็นตัวที่สองของทริป ตัวแรกเจอตอนขึ้นห้วยโกร๋นวิ่งข้ามถนน ตัดหน้าจักรยานไป ตัวนี้โผล่มากลางวงพวกเราเลย เจ้าหน้าที่ฯ เห็นเกือบโดนสังหารไปแล้ว เนืองจากสัปดาก่อนเจ้าหน้าที่คนหนึ่งโดนตัดไปต้องหามส่งโรงพยาบาลในตัวจังหวัดเลย พวกเรารีบห้ามกันยกใหญ่ โดยไม่ได้นัดหมาย เผลอแป๊ะเดียวก็วิ่งหายไปในรูดินแถวนั้น พวกเราชอบเที่ยว ผจญภัยป่าเขาลำเนาไพร่ เสี่ยงกับสัตว์เลื้อยคลาน มีพิษ เดินข้ามทุ่งข้ามป่ากันเป็นประจำ ต้องคิดแต่สิ่งดีๆ ไม่คิดร้ายใคร จะได้ไม่พบอุปสรรค อันตราย ถ้าจะพลาดพลั้งโดนสัตว์มีพิษกัดก็ต้องถือว่าโชคร้าย ถึงคราวซวย ไอ้การป้องกันตัวโดยเอาชีวิตเค้าทั้งๆ ที่เหตุยังไม่เกิดดูมันช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ ใบป่าในเขาถึงฆ่าไปหนึ่งตัวเดียวก็มีตัวใหม่มาอยู่ดี ไม่ช่วยอะไรเลย
เมื่อต้นเดือนลูกน้องที่ทำงานก็เพิ่งไปโดนงูเห่ากัดมา ทำงานตัดหญ้า ลอกท่อในหมู่บ้าน ไม่เคยเจอ มาโดนกัดเอาที่ปั๊นน้ำมันแถวรามสอง เห็นว่าวิ่งเข้ามาไล่งับเลย เกือบตาย นอนไอซียูสี่วัน ยังต้องมารักษาอาการอีกสองเดือน ของแบบนี้อยู่ที่ดวงจริงๆ
ฟ้าหลังฝน ชุ่มชื่นจริงๆ
หลังจากฝนซาเจ้าหน้าที่ก็พาเราไปดูที่พัก ที่นี่รับนักท่องเที่ยงด้วย แต่มีกลุ่มเล็กๆ มีห้องพัก ร้านอาหาร แต่ต้องสั่งล่วงหน้า มีเวทีเล็กๆ สำหรับจัดกิจกรรมด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ฟรีนะครับ แต่ก็มีให้เลือกตามความพอใจ เราพอใจศาลาโล่งๆ เลยสำนักงานไปหน่อย เป็นส่วนตัวพวกเรากลุ่มเดียว เพราะไม่มีใครมาเลย กลุ่มสุดท้ายเพิ่งกลับไป ได้ที่พักแล้วก็สั่งอาหารเย็นรอไว้ พร้อมอาหารเช้าด้วย ส่วนมื้อกลางวัน เรางัดสเบียงสารพัดมาจัดหนักกัมเรียบร้อยไปแล้ว รอไม่ไหว
มาม่า ปลากระป๋อง ขนมปัง กาแฟ โอวันติน เสร็จก็กางเต๊นทิ้งไว้ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งๆ กัน เวลาเหลือเฟื้อสำหรับบ่ายนี้ ผมเองก็เดินสำรวจไปรอบสูง ตอนนี้ใช้กล้องอีกตัว เดียวค่อยเอาภาพมาลง พอฝนหยุด อาบน้ำพักผ่อนกันสักพัก เย็นๆ ก็ไปเดินเลยถ่ายรูปกัน เจ้าหน้าที่ชมพวกเราที่ขี่จักรยานขึ้นมาบนนี้ได้ และบอกว่าบ้านเปียงซ้อชันน้อยกว่านี้เยอะเลย อยู่ดีๆ มาจุดประกายกันซะอีกแล้ว พอได้ยินความอยากก็เกิดทันที จะขี่รถเปล่าไปกันทันไหม ฟ้าจะมืดแล้ว หรือจะเช่ารถเครื่องไปกันเลย จะถึงที่อยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ล้มเลิก เพราะพวกเราอาบน้ำกันหมดแล้ว ไม่อยากไปคลุกขี้เลน และฟ้าก็ปิด นาข้าวก็เกี่ยวหมดแล้ว ถ่ายรูปไม่สวย เดินเล่นกันไปดีกว่า
ตอนกลางคืนที่นี่ดาวสวยมาก ตอนแรกเห็นก็ว่าเยอะกว่ากรุงเทพบ้านเราแล้ว พอเราปิดไฟหมด โห้ เยอะยิ่งกว่าท้องฟ้าจำลองอีก สวยมาก ผมกับนพรีบไปหยิกกล้อง ขาตั้งมาถ่ายกัน แต่พบว่ากล้องมิลเลอร์เลสมันถ่ายยากมาก มองไม่เห็น โฟกัสก็ไม่ได้ เปลี่ยนเลนมือหมุนก็ยังมองไม่ออก หน้าจอมันคงสู้มองผ่านวิวไม่ได้ เลยขอยอมแพ้ดีกว่า ไม่มีฝีมือ แต่เป็นคืนที่มีฟ้าแสนสวยจริงๆ ไม่เคยเห็นดาวมากมายแบบนี้มานานแล้ว (ยกเว้นตอนตกจากหลังคามั้ง อันนั้นเห็นดาวเต็มหัวเลย )
เช้าวันใหม่ ออกมาเดินขึ้นไปด้านบน มีลานจอดฮอลิคอปเตอร์ และทีที่ประทับฯด้านบน ที่ทดลองเลี้ยงสัตว์ที่สูง ไร่ชา กาแฟ มะขามป้อม วิวสวยๆให้ถ่ายภาพเยอะเลย
ดูดีๆจะเห็นถนนเลาะไปตามสันเขาขึ้นไปสูงมาก เสียดายแต่เวลาเราหมดแล้ว
มองเห็นเส้นทางไปหมู่บ้านต่างๆ วกไปวนมา ยังมีสูงกว่านี้อีก โดยเฉพาะหมู่บ้านเปียงซ้อ ที่ตั้งใจจะไปเที่ยวแต่ต้องล้มเลิกไปซะก่อน
เมฆฝนตั้งเค้ามาอีกแล้ว
ไร่ชาทดลองปลูกบนยอดเขา
ถ้าเดินลงไปด้านล่างเป็นทุ่งนาทดรอง กำลังออกรวงเหลืองอร่าม สวยมาก
ธรรมชาติแท้ๆ ไม่ต้องแต่งแต้มเลย เช้านี้มีเราสี่คน ไม่มีใครเลยทั้งโลกใบนี้
ขากลับแวะกินลูกม่อนกันอีกรอบ คงไม่ได้มาได้ง่ายๆ กินแล้วก็ไปต่อ น้องนพกับพี่หมู ยังแอบไปล้มต้นกล้วยข้างทางเอากล้วยมีอีกหวีใหญ่ ของกินเยอะแยะ กินเท่าไหร่ก็ไม่หมด
ทางลงแบบนี้ไปเร็วไม่ได้ เสียวดีจริงๆ
ลูกหม่อนด้านล่างลูกเล็ก สีไม่เข้ม เปรี้ยวด้วย ไม่อร่อยเลย
เส้นทางมันสวยจริงๆ จอดถ่ายรูปกันตลอดทาง
จากทางแยกไปบ่อเกลือ แค่ 37 กิโล มีเขาลูกใหญ่ๆ หนึ่งลูกคือก่อนถึงอุทยานขุนน่าน นอกนั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไร ขีไปถ่ายรูปไป ไม่นานคงถึง
วิวสวยๆแบบนี้มีให้ชมตลอดทางจริงๆ ไม่อยากจะไปต่อเลย
ขี่มาสักพักพอเราเข้าเขตอำเภอบ่อเกลือ จะเป็นเขตอุทยานขุนน่าน ไร่ข้าวโพดคอยๆ หายไป เริ่มเห็นป่ารกชักมากขึ้น เรียกว่าเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลย
วันในตัวอำเภอบ่อเกลือ ที่ท่องเที่ยวมีถนนเส้นเดียวสั้นๆ เงียบๆ อากาศดี ร้านรวงก็ตกแต่งเข้ากับสภาพแวดล้อมดี ยังไม่ได้รับอิทธิพลนักท่องเที่ยวมากนัก
ตรงนี้มีร้านอาหาร ของชำร้านแรก ให้แวะเติมพลังงานกัน คนอื่นเริ่มหิว หาอะไรกินกันแล้ว ผมควักขนมปัง711 ตุนไว้มากินเล่นก่อน ลดน้ำหนักไปในตัว ผ่านจุดนี้ไป เริ่มเป็นป่าอุทยานชัดเจน และมีหมู่บ้านใหญ่ๆ มากขึ้น บ่ายสองสี่ห้าเราก็ถึงแยกบ่อเกลือพอดี เหลือทั้งแรงเหลือทั้งเวลา เลยมาขี่หาที่นอนกันอีกพักใหญ่
แม่น้ำน่านช่วงต้นน้ำ น้ำน้อย ทีแรกมาถึงบ่ายอากาศร้อน ตั้งใจจะหาที่พักริมน้ำ และลงแช่น้ำเล่นกัน หาเท่าไหร่ก็ไม่มี เจอแต่ห่างน้ำทั้งนั้น ริมน้ำที่สวยๆ กลับไปทำนาหมด ตอนเช้าก่อนออกเดินทางต่อได้คุยกับคุณครูเจ้าของบ่อเกลือฟ้าใส ถึงกระจ่างว่า เคยมีคนไปสร้างเหมือนกันริมน้ำ วันดีคืนดี แค่ชั่วโมงเดียว อะไรๆที่่ทำไว้หายวับไปกลับน้ำป่าหมด เลยไม่มีรีสอท ที่พักริมน้ำ ได้แต่ปลูกข้าว เลี้ยงวัว เพราะน้ำป่าเอาแน่เอานอนไม่ได้ เรื่องก็เป็นเช่นนี้เอง
สะพานไม้ไผ่สร้างขึ้นใหม่ๆ เลย ที่บ่อเกลือบ่อที่1 คงตั้งใจเอาไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยว ถึงจะสั้นไปหน่อย ดึงดูดหมูเราได้หลายรูปเหมือนกัน ได้ผลๆ หลังจากขี่วนกันอยู่หลายรอบ ตกเย็นก็ไปเดินเล่นถ่ายรูปในเมือง น่าจะเรียกว่าถนนซะมากกว่า เพราะมันมีอยู่นิดเดียว มืดๆ ก็หาอะไรกินกัน มาถึงบ่อเกลือทั้งที่ เลยได้กินบะหมี่เกี๊ยวโหน่งชะชะช่า ซะงั้น แต่ร้านจัดได้น่ารักดี มีแต่พวกเราโต๊ะเดียว และเจ้าของร้านกับญาติพี่น้องที่มากจากรุงเทพขึ้นมาเยี่ยมวันหยุด ไม่อยากจะบอกเลยว่า คงเป็นลูกสาวมาเยี่ยมพ่อแม่ และลูกที่ฝากเลี้ยงไว้ สวยไม่เสียชื่อสาวเมืองน่านเลย เห็นในบ้านมีเครื่องซักผ้าใหม่เอี่ยม คงซื้อมาฝากที่บ้านด้วย วันนั้นก็เป็นวันเกิดลูกสาวเค้าพอดี อายุคงซักสามสี่ขวบกำลังน่ารัก พวกเราเลยร่วมร้องเพลงแฮปปี้เบิดเดย์ร่วมกัน ผมเลยได้เค๊กนมสดหวานเย็นชื่นใจมาหม่ำอีกหนึ่งชิ้นใหญ่ อร่อยไปเลย
เราก็ได้ที่กางเต๊นที่ บ่อเกลือฟ้าใส้ คิดเราคนละร้อย มีน้ำอุ่นให้อาบ เช้ามามีขนม น้ำดื่มหนึ่งขวด และกาแฟ โอวันตินให้ทานด้วย วันนี้คนเยอะ ที่พักเต็มกันหลายที่ ที่ๆเราพักมีปาตี้วงใหญ่ๆ ถึงสามวง เรียกว่าเล่นกันยันเช้าเลย ทั้งกีต้า กลอง คาราโอเกะ วัยรุ่น กลางคน ปลายคน น่าเห็นใจครับ คนทำงานมีโอกาสก็อยากปลดปล่อยเต็มที่ พวกเราก็หามุมสงบเล็กๆ นั่งคุยกันชนดึก
พรุ่งนี้เราสามคนจะแยกทางกับน้องนพแล้ว โดยนพจะไปอำเภอสันติสุข เข้าน่าน ระยะทางแปดสิบกว่าโล ส่วนพวกเราจะข้ามดอยภูคาเพื่อไปท่าวังผา เพื่อขึ้นรถทัวกลับบ้าน เสียงเพลงก็ดัง เสียงคนหัวเราะยิ่งดังกว่า แล้วเราจะนอนยังไงวะเนี่ย แต่กว่าจะคิดคำตอบ เจ็ดโมงเช้าซะแล้ว ตื่นสายเลยบ่อเกลือฟ้าใส เจ้าของเป็นครูโรงเรียนที่อำเภอนี่เอง ใกล้เกษียณแล้ว จะมาดูแลเฉพาะวันหยุด โดยมีลูกชายคอยเป็นหลัก ใจดี คอยมาถามไถ่ ทักทายผุ้มาพักตลอด ที่พักก็ไม่แพง ไม่หรูหราจนเกินเหตุ ท่านใดผ่านไปก็แนะนำเลยครับ อยู่เลยสามแยกทางไปน่านประมาณกิโลเดียว ริมถนน
สูตรจากปรมจารย์ทัวริ่งเป็นตัวเลยเช่น 567 678 คงใช้กับเราไม่ได้ โอ้เอ้กันไปเรื่อย กว่าจะเสร็จ เกือบแปดโมงไอ้นพเผ่นหายไปแล้ว พวกเรายังไม่ได้เก็บเต๊นกันเลย วันนี้ตั้งใจว่าควรถึงยอดดอยภูคาสักเที่ยง อย่างช้าเก้าโมงก็เผ่นกันได้แล้ว ยิ่งสายยิ่งร้อน เรามีเวลารถทัวคอยกดดันด้วย
สายแล้วแต่เราก็ยังมาถ่ายรูปบ่อเกลือ สะพานกันอีกรอบ เห็นร้านก๊วยเตียวหอมฉุยน่ากินเลยแวะกินกันเลยดีกว่า นั่งรอสักพัก ไอ้หนุ่มเมื่อคนเมื่อคืนยกลังน้ำเข้ามาข้างในยกมือไหว้พวกเราทันที ว้าว เจอกันอีกแล้ว หนนี้หนที่สามแล้ว รอบแรกก็ถามหาที่พัก หนุ่มอัทธยาศัยดี พูดจาฉะฉาน หน้าตาเบิกบานยิ้มแย้มได้ตลอดเวลา ทำไมมาเปิดร้านอยู่นี่ได้ละ จนได้ความว่า เคยมาทำงานที่กรุงเทพ อยู่โรงแรมแถวแจ้งวัฒนะนานแล้ว เจอผลกระทบม๊อบสารพัดเลยกลับมาช่วยน้าเปิดร้านที่นี่ ถ้ารู้จักพอเพียงก็อยู่ได้ครับ สบายใจกว่าอยู่กรุงเทพเยอะ ถึงที่โน่นหาเงินได้ดีกว่า ก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย สิ่งยั่วยวนมากกว่า เป็นคำตอบของเขา ก๊วยเตียวหมูราคาสามสิบบาท ลูกชิ้นส่งมาจากลำปาง ต้องวิ่งไปซื้อของเข้าร้านอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ข้ามดอยภูคาที่เรากำลังจะไป "วิ่งบ่อยๆ ก็ชินครับ ช่วงแรกสิบสี่โลก็ขึ้นหนักเลย แต่เลยแล้วก็สบาย ลงไปยันปัว" คือคำตอบของเราในวันนี้ ระหว่างที่สนทนากันผมก็เกิดถูกใจฝ้าไม้ไผ่สานบนเพดานจริงๆ เห็นหลายๆ บ้านทำกันเยอะมาก เลยสงสัยว่าทำไมบ้านเราปลวกมันกิน ที่นี่ไม่กลัวกันบ้าง ถึงรู้ว่าต้องใช้ไม้ไผ่ที่แก่ๆ หรือแห้งตายคาต้น ปลวกมันจะไม่กิน กับอีกเรื่องคือ ต้นกล้าสตอเบอรี่เล็กๆ เห็นมีกันทุกบ้าน บ้านละหลายๆ ต้น ปลูกเป็นไม้ประดับกันเลย เคยไปไร่สตอเบอรี่แถวบ่อแก้ว เชียงใหม่ มันปลูกยากมาก ต้องมีแปลง ขุดร่องมีดินแฉะๆ บางที่ต้องคลุมพลาสติก แต่ที่นี้เค้าบอกว่าซื้อต้นเล็กๆ มาตั้งไว้ตอนนี้ แค่คอยรดน้ำบ้างพอหนาวก็จะโตออกลูกเต็มต้นเลย หวานไม่แพ้ทางเหนือเลย เออแปลกดี
ตรียมข้าวเหนียวไก่ย่าง ขนม ลูกอมเสร็จ เก้าโมงกว่า ออกเดินทางเลย ขึ้นเกือบร้อยเปอเซ็น มีลงจิดเดียว แต่สนุกดี ยิ่งช่วงหลังๆ ยิ่งชันยิ่งสนุก มันชันแต่ไม่สั้นเหมือนเขาใหญ่ฝั่งปากช่อง มันชันยาว ขี่มันดี ขี้ไปจอดถ่ายรูปไป
ความหิวไม่เคยปราณีใคร ขี่จักรยานทางไกลๆ ต้องมีเสบียงเตรียมไว้ ผ่านร้านค้ามากมาย เวลาไม่หิวก็คือไม่หิว แต่พอหิวแล้วตรงไหนก็ต้องกินละ ไปต่อไม่ไหว
ยางเสือภูเขา 2.1 ดอกโตๆก็ไม่มีปัญหา ของพรรคนี้อยู่ที่ใจเท่านั้นเอง
มองกลับไปเส้นทางที่เราปั่นจักรยานกันมา ดูมันไม่นาจะขี่มาได้เลย
โค้งเอสช่วงนี้สวยมาก ถ้าเป็นขาลงคงสนุกน่าดู
จนเที่ยงครึ่ง ถึงจุดสูงสุด แวะกินน้ำขนม ไข่ต้ม แล้วก็ชื่นชมความงานกันพักใหญ่ ต่อจากนี้ไปก็งั้นๆ อิอิ แล้วก็ไหลลงยาวๆ 3 กิโล มาถึงลานดูดาว ตรงนี้มีร้านขายของ จุดจอดถ่ายรูปพักรถกัน เราก็ไหลผ่านไป ขี่เกียจจอด จากนั้นก็ขึ้นเขาอีกลูกใหญ่เพื่อผ่าน อธช ดอยภูคา เวลาชักไม่คอยท่า ไหนบอกลงอย่างเดียว มีขึ้นด้วยนี่หว่า ก็เริ่มบอกสมาชิกเดินหน้าเต็มสปีดแล้ว รูปไม่ต้องถ่ายกันแล้ว เดียวตกรถ
ผ่านดอยภูคาลงมายาวๆ เป็นถนนบนสันเขาสวยมากทอดยาวไปเขาอีกลูกสูงชัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจออีกแล้ว เวลาสองโมงครึ่ง และไหลไปอย่างรวดเร็วแต่เราไม่ไหลลงตามที่คิดไว้ เอาไงดีวะ โบกรถเลยดีไหม ในใจคิด ขออีกนิด มันก็อีกไม่ไกลแล้ว ถ้าสามโมงครึ่งยังไม่พ้นเขาคงต้องโบกแล้ว พอพ้นเขาลูกใหญ่ตรงหน้าก็โล่งอก เห็นป้ายลงเขายาว 3 กิโล จอดรอสมาชิกจะได้ลงพร้อมกัน จากนั้นเราก็ลงกันยาวๆ น่าจะเกินสามกิโล ชันๆสั้นๆ ขอบล้อผมกับรถเฮงร้อนจี๋จับไม่ได้เลย ต้องคอยจอดพักกันเป็นระยะๆ ส่วนรถหมูดิสเบรคหายลับไปไกลแล้ว อีกประมาณ 6 โลถึงตัวอำเภอเราก็ลงมาอยู่พื้นราบ ข้างหน้าเราไม่มีวิวเขาอีกต่อไป จะมีแต่ข้างหลัง เริ่มมีบ้านเรือนแบบน่านๆ ถ้าจำไม่ผิด เป็นตำบลที่พวกคนมอญ ไทลื้ออยู่กัน บ้านทุกหลังจะหมือนกันหมด ทำนากันทั้งตำบล อยากจะแวะถ่ายรูป แวะเที่ยวใจจะขาด แต่เวลาไม่คอยท่าเลย พวกเราปั่นกันรวดเดียวถึงสามแยกปั๊มปตท และ 711 อันแรกหลังจากอันสุดท้ายที่ทุ่งช้าง ถึงปัว สี่โมงพอดี มีเวลาสองชั่วโมง ล้างหน้าล้างตาตากแอร์ในเซเว่นเสร็จก็ปั่นท่าวังผา 16 กิโล ทางเนินเตื้ยๆ แสงแดดบ่ายแก่ๆ ตัดกับนาข้าวกำลังออกรวง ชวนให้จอดจริงๆ ห้าโมงเราก็ถึงขนส่งท่าวังผา อาบน้ำ ถอดรถรอที่นอนเคลื่อนที่เรามารับ
เช้าแปดนาฬิกาสามสิบชีวิตลูกจ้างก็กลับมาเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย วันนี้รถก็ยังไม่ได้แตะเลย เก็บไว้ดูก่อนจะได้รู้ว่าเรื่องจริงนะ ไม่ได้ฝันไป
No comments:
Post a Comment