Sunday 6 December 2015

mini trip : ขุนตาล กิ่วฝิ่น Part 1

lonely trip : ขุนตาล กิ่วฝิ่น แจ้ซ้อน ลำปาง
6-8 ธันวาคม 2559 ขุนตาน – ห้วยตะไคร้ – น้ำพุร้อนสันกำแพง – แม่ออน – แม่กำปอง – กิ่วฝิ่น ม่อนล้าน – แจ้ซ้อน – ลำปาง เส้นทางโหดมาก

วันพ่อปี2558 20.00น. หลังจากจัดงานวันพ่อแห่งชาติให้กับที่ทำงานเสร็จ ฝนหยุดตกแล้ว รีบเก็บของ ปั่นไปขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง รถด่วนขบวนที่ 55 กรุงเทพ – เชียงใหม่ ชั้น3 ราคา286บาท จุดหมายคือ สถานีขุนตาน วันนี้รถไฟที่เรานั่งมีที่ว่างเยอะนั่งสบาย ท่านนายตรวจบอกว่าถ้าเป็นเมื่อวานคงได้ยืนหลับไปจนถึงลำปาง 
นั่งรถไฟกันยาวๆ สิบกว่าชั่วโมง ถ้าคนแน่นๆคงหมดสนุกแน่ๆ

วิวสองข้างทาง  ช่วงตั้งแต่แพร่ไปลำปางสวยดี เป็นขึ้นเขา และป่าไม้

นั่งกับซีอุย เหมา4ที่นึ่งเลย สบายมาก

วันนี้ได้นั่งคนเดียวสี่ที่นั่ง ซีอุยรถพับคันน้อยก็วางไว้ใต้อ่างล้างหน้า ไม่เกะกะผู้โดยสารคนอื่น แต่ถึงจะว่างนั่งสบายเพียงไร เสียงของล้อรถไฟกระทบกับรางก็ดังสนั่น สั่นสะเทือนไปตลอดทางอยู่ดี กลางคืนอากาศเย็นสบาย นั่งกินลมชมวิวไปเรื่อย เอาที่อุดหูใส่ก็แล้ว ฟังเพลงก็แล้ว ก็หลับยากจริงๆ พอจะงีบหลับ รถไฟก็จอดสถานี เมื่อรถจอดก็จะมีแม่ค้ามาเสียงใสเดินมาขายอาหาร เครื่องดื่ม ชวนให้หิวไปตลอดทางคงเป็นแบบนี้ไปจนเช้า รถไฟวิ่งมาถึงจังหวัดแพร่ก็เริ่มสว่างแล้ว เส้นทางผ่านป่าเขา มีอุโมงค์สั้นๆ เป็นสะพานข้ามหุบเขาสูงชัน และเป็นทางขึ้นเขา รถไฟวิ่งไปได้ช้าๆ ได้ชมวิวสองข้างทางเพลินๆอยู่บ้าง

เวลาไปคนเดียวต้องมีเพื่อนไว้คุย  ถ่ายรูปบ้าง ไม่งั้นเหงาตาย
ด้วยความที่ครั้งนี้เป็นการเดินทางคนเดียว จึงเกิดความคิดที่จะหาอะไรทำระหว่างทางบ้าง ไม่ให้เหงา อย่างหนึ่งที่คิดได้คือ ตั้งใจเก็บสะสมขยะที่จะเกิดขึ้นจากการเดินทางของเรากลับบ้านให้หมด ทำให้เกิดความคิดใหม่สะท้อนออกมาคือ ก็พยายามอย่าให้เกิดขยะจะได้ไม่ต้องเก็บมามาก ขยะส่วนใหญ่ก็เกิดจากอาหารการกินทั้งนั้น เลยจะพยายามกินให้จบในร้านมันซะทุกมื้อ จะติดไปก็พวกของแห้งๆ เล็กๆน้อยๆ ที่พอจะพับเก็บใส่กระเป๋ากลับมาได้ จะได้ไม่มีของเน่าเสียเป็นภาระ ด้วยความคิดแบบนี้เลยอดกินของอร่อยๆหลายอย่างบนรถไฟ เพราะทุกอย่างท่านใส่ถุง ใส่โฟมมาทั้งนั้นเลย


อุโมงขุนตาล ปั่นจักรยานมาจากลำปางก็ได้ แต่มารถไฟสนุกที่สุด




ถึงขุนตานเวลา 11.00 น. จุดหมายแรกของเรา อย่างแรกที่นึกได้คือหาอะไรกินก่อน อดมาตั้งแต่เมื่อคืน แถวสถานีมีร้านค้าเล็กๆพอจะฝากท้องได้ ขอน้ำเติมอีกหนึ่งกระติก อิ่มแล้ว พร้อมปั่น แดดเริ่มร้อน แต่อากาศเย็นลงจนรู้สึกได้ เริ่มจากสถานีขุนตาน ปั่นขึ้นไปอุทยานแห่งชาติขุนตาน เราต้องปั่นขึ้นทางชันมาก 1.5 กิโล เพื่อจะไปประทับตราอุทยานฯไว้เป็นที่ระลึก อันนี้ก็เป็นอีกสิ่งที่ตั้งใจจะทำ คือ จดบันทึกการเดินทางไว้ในสมุดเล่มเล็กๆ เพราะพักหลังมานี้ไปไหนต่อไหนจนจำไม่ค่อยได้ แต่เนื่องจากนั่งรถไฟมานาน กว่า12ชั่วโมง กล้ามเนื้อยังไม่ยอมทำงานตามหน้าที่สักเท่าไหร่ ขอลงเข็นขึ้นเนินสักสองเนินดีกว่า ระยะทางยังอีกยาวไกล



ถึงด่านเก็บเงินใช้เวลาไปเกือบยี่สิบนาที ได้ตราประทับแล้ว สอบถามเจ้าหน้าที่ถึงเส้นทางที่จะไปบ้านห้วยแก้ว ซึ่งคาดว่าจะไปหาที่พักแถวนั้น เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางลอยฟ้าของเราที่จะมุ่งหน้าสูงกิ่วฝิ่น เจ้าหน้าที่ฯแนะนำให้ไปตามทางสาย1230 ผ่านอำเภอแม่ทา ไปจนถึงสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายเข้าแม่ออน ผ่านน้ำพุร้อนสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ตรงไปอีกหน่อยก็จะถึง แต่ทางนี้อ้อมเข้าเมือง หรืออีกทางซึ่งตัดใหม่ ผ่านอุทยานห้วยแม่ตะไคร้ ซึ่งเป็นทางตรง แต่ไม่ค่อยมีผู้คนใช้ และเส้นทางบางช่วงชำรุด ขอให้สอบถามทางอุทยานห้วยแม่ตะไคร้ก่อน ว่าเปิดให้ผ่านหรือไม่ หรืออาจนอนที่อุทยานห้วยแม่ตะไคร้ก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางจะดีกว่า ส่วนทางจากอุทยานขุนตานที่เห็นไม่สามารถไปได้


เส้นทางจากที่ทำการอุทยานทางสวยมาก เป็นป่าอนุรักสมบูรณ์ เงียบสงบดี ไม่มีรถวิ่งเลย

ออกจากเขตอุทยานฯ ก็จะเป็นพื้นที่นากว้าง มีภูเขาล้อมรอบทั้งซ้ายขวา
ต้องปั่นย้อนลงมาเส้นทางสายเล็กๆในเขตป่าสงวน ประมาณ 5 กิโล เพื่อมุ่งหน้าไปแม่ออน สองข้างทางเป็นป่าทึบ วิวสวย เป็นทางลงไปบรรจบเส้นทาง 1230 จากนี้ไปเป็นจะอยู่ระหว่างหุบเขาตรงกลางเป็นพื้นที่เกษตรกรรมทำนาปลูกข้าว มีชุมชน อบต ร้านค้าตลอดทาง รถน้อย อากาศดี ระหว่างทางแวะร้านกาแฟสดแม่ทา

 



ร้านกาแฟสดหนึ่งเดียวบนถนนสายนีี บริหารโดยวัยรุนในชุมชนด้านหลังมีศูนย์เรียนรู้เศษกิจพอเพียงด้วย
และเป็นศูนย์เรียนรู้ชุมชม บริหารโดยวัยรุ่นของหมู่บ้าน จากนั้นและมุ่งหน้าต่อไปสักพักใหญ่ๆ ก็ผ่านสามแยกไปสันกำแพง เราเลือกที่จะไปแวะอุทยานห้วยตะไคร้เพื่อสอบถามเส้นทางก่อน 14.47น. อากาศกำลังสบาย เลยจากสามแยกประมาณสามกิโลก็ถึงทางเข้าที่ทำการอุทยานฯ แถวนี้ไม่ค่อยมีร้านค้า เจอร้านก๊วยเตียวอยู่ร้านเดียวกำลังจะปิด รีบเข้าไปจัดการกับกระเพราะของตัวเองให้เรียบร้อย และไม่ลืมที่จะซื้อเสบียง น้ำดื่ม สำหรับมื้อเย็นไว้ด้วยเผื่อหาอะไรกินไม่ได้ ระหว่างทางถามน้องเจ้าของร้านสองคนผัวเมียถึงเส้นทางข้างหน้า คำตอบคือไม่เคยไปไหนไกลจากร้านเลย นอกจากไปจ่ายตลาด แต่ที่แน่ๆคือไปทะลุออกห้วยแก้วได้แน่ เอาไงดี เช็คจากแผนที่ระยะทางประมาณ 15กิโลเอง เพิ่งจะบ่ายสาม อีกห้ากิโลมีจุดชมวิวห้วยแม่ตะไคร้ ดูหน้านอนกว่าข้างล่างเยอะ ไปตายเอาดาบหน้าแล้วกัน ขี้เกียจย้อนไปที่ทำการแล้ว





ร้านข้าวสุดท้ายก่อนจะหลวมตัวเข้าป่า
เตรียมเสบียงเสร็จก็มุ่งหน้าต่อ โดยมีจุดชมวิวแม่ตะไคร้เป็นเป้าหมาย ขึ้นดอยยาวๆ ถนนเริ่มเป็นหลุมบ่อ ชุมชน ร้านค้า ไร่นา เริ่มหายไปทีละน้อย จนเจอทางขึ้นเขายาวๆ ค่อยๆไต่ขึ้น สำหรับรถพับมันช่างท้าทายจริงๆ ขี่ไปได้สักพักสวนกับชาวบ้านสองคนยิงนกกันอยู่ หันมาเห็นเราขี่จักรยานมาคนเดียวก็ยิ้มๆ เราก็ไม่ได้เอะใจ แค่ยิ้มตอบไป คิดรู้ว่าไม่ผิดทางแน่ ทางเริ่มชันขึ้น มองไปด้านหลังวิวสวยมาก สักพักมีชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซด์ขึ้นไปหันมายิ้มให้เราอีก ยิ่งทำให้มั่นใจว่าไปได้แน่ ไม่น่ามีปัญหาอะไร ค่อยๆ ไต่ชันขึ้นๆ รถราก็ไม่มีวิ่ง ทำให้ใช้วิชาเลี้อยขึ้นเนินได้สบายๆ รถพับก็ขึ้นได้ เมื่อขึ้นแล้วก็ต้องลงเป็นธรรมดา เวลาลงก็ลงชัน ลงลึก แล้วก็ขึ้นมาใหม่ เป็นอย่างนี้สองสามรอบ




เวลานั้นถึงเนินชัน แต่ก็ขี่ขึ้นได้อย่างสนุกมาก มันเงียบ ไร้ผู้คน จิตอยู่ในสมาธิ อยู่กับขาซ้าย ขาขวาที่ขึ้นลงตรงนั้น เวลานั้น เป็นความสุขบอกไม่ถูก จนถนนดีๆเริ่มเป็นหลุมบ่อ ทางดำดีๆกลายเป็นทางดินแดงๆ จนในที่สุดถนนก็กลายเป็นทางลูกรัง หินลอย น่าจะถอยหลังกลับแล้ว แต่นึกถึงแต่ละเนินที่ไหลลงมา ก็ไม่อยากจะไต่กลับไปเท่าไหร่ เวลาก็เพิ่มจะสี่โมง ยังมีเวลา ดันทุรังต่อไป ยิ่งลึก หินก็ยิ่งก้อนโต เนินก็ชันขึ้น จนในที่สุดต้องเข็นขึ้น เข็นลง กลัวรถพัง จนในที่สุดก็มาถึงจุดชมวิว



จุดชมวิว พบว่ามันมีแต่ป้ายสองแผ่นกับพื้นที่ราบๆนิดเดียวเท่านั้น ถึงจะนอนตรงนี้ไม่ได้แน่ แต่อย่างน้อยมันน่าจะเป็นจุดสูงสุดของเส้นทางแล้ว เลยจุดชมวิวไปเป็นทางลงเขาชันสลับไปมา ถ้าไม่ชันมากพอขี่ลงได้ ขี่ลงไม่ได้ก็ต้องจูง ด้านหน้าเป็นทางลงชันหักศอก มองไปข้างหน้าเห็นภูเขาสลับซับซ้อน มีทางถนนที่เราคงต้องผ่านขึ้นๆลงๆอีกหลายครั้ง ชักไม่ง่ายอย่างที่คิด อยากเปลี่ยนใจกลับ แต่เวลายังเหลือ ตัดสินใจพุ่งลงเนินไป ยังไงก็ไม่เปลี่ยนใจถอยกลับแล้ว เพราะเนินนี้ลงชันมาก ถ้าต้องเข็นขึ้นมาใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย




ทางเป็นหินลอยแบบนี้ ปั่นขึ้นสบายกว่าลงเยอะ พอเจอทางลงแทนที่จะดีใจกลับต้องลงจูงแทน



 ลงไปจนสุด ด้านล่างเป็นป่าทึบแสงแดดอ่อนลง อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เข็นสลับขี่ผ่านเนินแล้วเนินเล่า ยิ่งเราเหนื่อยล้าเท่าไหร่ เวลาก็เริ่มเดินเร็วขึ้นเท่านั้น แต่แล้วก็ต้องพบเรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะกำลังเข็นลงเขาอยู่ดีๆ ไปเจอกลุ่มจักรยานห้าหกคันกำลังเข็นขึ้นเขาสวนมา บุกมาจากฝั่งโน้น จะไปห้วยแม่ตะไคร้ ตอนนั้นดีใจบอกไม่ถูกแวะทักทายสอบถามเส้นทางกันจนแน่ใจว่า ข้างหน้าไม่ไกลก็เป็นทางดำ ไม่ใช้ทางตัน จึงตัดสินใจไปต่อ


แต่สำหรับผมคงมืดก่อนออกไปถึงหมู่บ้านแน่ แต่ก็เลือกที่จะไปต่อแทนที่ จะย้อนกลับไปกับกลุ่มที่พบ คิดว่าถึงจะมืดก็มีไฟหน้าสว่างๆ ถ้าติดอยู่ในป่าจริงเสบียงก็พร้อม ที่นอนก็พร้อม เข็นๆจูงๆ เอาเข้าจริงๆ ยังต้องจูงกันอีกไกล ฟ้าก็เริ่มมืด แต่เรามีเสบียง น้ำ1ขวด คืนนี้ไม่อดตายแน่ ทริปนี้กลัวหนักไม่ได้พกเต๊นท์เอาเปลมุ้งมาแทน มองไปสองข้างทางต้นไม้ผูกเปลเยอะแยะ ไม่มีปัญหา อยู่ที่จะเลือกนอนสูง หรือนอนต่ำดี หรือถ้าเกิดหลอนก็ขี่ไนท์ทริปมันไปจนเช้าเลย สักพักก็เจอทางดำ แต่ก็ยังอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน ขึ้นชันลงชันอยู่ดี ฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว อากาศก็เย็นลงอย่างรวดเร็ว ไต่เนินชันๆมาสองสามเนิน ฟ้าก็ประทาน เจอรถเจ้าหน้าที่ป่าไม้ผ่านมาพอดีจึงขอโบกออกมาด้วย คันแรกจะไปแค่ด่านป่าไม้ข้างหน้า ก็ไม่สนใจละยกขึ้นรถไปนั่งเรียบร้อย ไปนอนที่ด่านก็ยังดี กำลังจะออกรถมีตามมาอีกคัน ท่านเจ้าหน้าที่เลยโบกให้จอด คันนี้ออกไปทางปากทางเลยเปลี่ยนคัน ไม่ต้องนอนกลางป่าแล้ว



ออกมาถึงสามแยกห้วยบก ซึ่งแค่เลี้ยวซ้ายไปไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงห้วยแก้วที่ผมวางแผนจะมาพัก แต่ตอนนั้นพี่เค้าถามว่าเราจะลงไหน ตอบไม่ถูก จำชื่อสถานที่ไม่ได้เลย มันงงไปหมด ไม่คิดว่าจะหลุดออกจากป่ามาได้ จิตคิดว่าต้องนอนในป่าไปแล้ว รีบลุกขึ้นตั้งใจจะลงตรงนี้แหละ แต่แล้วตะคริวเล่นงานทันที งับเข้าที่น่องจนทรุดลงไปนั่งใหม่ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เลยพูดไปว่าไปนอนแถวบ้านพี่นั่นแหละ เค้าเลยมาส่งให้ที่ อบต แม่ออนซึ่งย้อนกับมาที่บ่อน้ำร้อนสันกำแพง ระหว่างจะอาบน้ำ พี่ขับสองแถวเข้ามาแนะนำให้ไปนอนบ้านกำนันโฮมสเตย ราคาห้องละ 600 แต่เห็นมาคนเดียวให้ราคา 300บาท วันแรกทำเอาจิตใจแปรปรวนไปหมด ตอนรู้ตัวว่าโดนรถพากลับมาที่สำกำแพงแทบจะล้มเลิกความตั้งใจ เปลี่ยนเป็นไปเที่ยวเมืองเชียงใหม่แทนซะเลย แต่คิดอีกที ก็ดีกว่านอนคนเดียวในป่าเยอะ เพราะสิ่งเดียวที่กลัวคือตอนนอนนี่แหละ ปกตินอนเที่ยงคืนตีหนึ่ง ถ้าต้องมานอนแต่หัววันคงนอนไม่หลับแน่ๆ ขนาดนอนห้องเดียวที่นอนนุ่มๆ ช้างอีกหนึ่งขวด กว่าจะข่มตาหลับได้เกือบเที่ยงคืน



เช้า ออกเดินทาง 7.40 ย้อนกลับไปทางเดิมที่ขึ้นรถมา เนินใหญ่ๆเมื่อเย็นวาน พอปั่นขึ้นจริงๆก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ขี่สักพักเดียวก็ถึงสามแยกเมื่อวานที่ตะคริวกิน

เช้าๆแบบนี้ ต้มกาแฟ ต้มมาม่ากินก่อนดีกว่า พออิ่มแล้วถึงรู้ว่าทางบ้านพักเค้ามีข้าวต้ม กาแฟ ผลไม้เลี้ยงด้วย




ดอกหญ้าสวยๆ ยามเช้า



น้ำตกเยอะจริงๆ แต่ละแห่งโหดๆทั้งนั้น


เส้นทางขึ้นเนินยาวๆจากสันกำแพง ตอนนั้นรถมาดูมันไกลมาก พอขี่จริงๆ ก็ไม่เท่าไหร่



9.00 แวะซื้อสเบียงให้พร้อม เตรียมขึ้นเขาชัน ถึงโครงการหลวงตีนตก 9.40 น. แวะถ่ายรูปนิดหน่อย ขอผักคะน้าไว้ต้มมาม่าคืนนี้ด้วย ทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ เป็นโค้งหักศอกขึ้นชันไปจนถึงบ้านแม่กำปองเหนือ ที่นี้อากาศเย็นเรียกว่าหนาวก็ว่าได้ แต่การปั่นขึ้นทางชันๆตลอดทำให้ไม่รู้สึกถึงความเย็นรอบตัวแม้แต่นิดเดียว


แยกนี้แหละของจริง ซ้ายไปลำปาง แม่กำปอง กิ่วผิ่น เส้นทางขนานไปกับสายน้ำ มีรีสอท ที่พักตลอดเส้นทาง 

ชอบรูปนี้มาก โดยเฉพาะหลักกีโล เข้าใจทำจริงๆ



ศูนย์แห่งนี้นักท่องเที่ยวแวะซื้อของกันเยอะ




แวะขอผักคะน้าไปใส่มาม่ากินซะหน่อย
ไต่กันต่อไป ไต่อย่างเดียว ไม่มีลงเลย ค่อยๆไป ใกล้ถึงแล้ว 


ป้ายทางเข้าหมู่บ้านแม่กำปอง เริ่มมีบ้านคน ร้านค้า ขี่ไปเจอเนินที่ดูแล้วชันมากๆ คงปั่นขึ้นไปไม่ไหว เลยตั้งใจจะลงเข็นแล้ว จอดรถได้ถือโอกาสเดินถ่ายรูปบ้านไม้สวยๆ ตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับหน้าบ้าน ขนานไปกับถนนก็เป็นลำธาร โขดหิน ลัดเลาะตลอดทาง และแวะกินข้าว พักยาวๆ

ทางโค้งชันๆ ของจริงชันน่ากลัว ถ่ายรูปมาดูไม่ชันเท่าไหร่เลย

มาสะดุดตรงเนินนี้ ดูแล้วชันมาก ต้องจอดเตรียมความพร้อม คิดอีกทีย้อนกลับมากินข้าวเลยดีกว่า


เจอร้านอาหารน่านั่งพัก ถือโอกาสแวะเลย ตอนแรกหมามันไล่เลยไม่อยากแวะ


อาหารพื้นเมือง ขนมจีนน้ำเงี้ยว บอกตรงๆ เวลาอยุ่ในหม้อดูไม่น่ากินเอาซะเลย


แถวนี้ปลูกเมล็ดกาแฟกันด้วย

มื้อเที่ยงต้องจัดเต็มหน่อย สองอย่าง 60 บาท ปกติไม่เคยคิดจะกินเลยส้มตำ วันนี้คิดถึงเพื่อนๆ ต้องสั่งมากินสักหน่อย

ออกเดินทาง 11.10น. เข้าเขตบ้านแม่กำปองทางจะสั้นๆแต่ชันมากกว่าเดิมอีก สองข้างทางเป็นที่อยู่อาศัย สร้างจากไม้ หลายหลังทำเป็นโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสบรรยากาสป่าเขา ไต่ทางชันๆผ่านที่ท่องเที่ยว ร้านกาแฟสวยๆ โฮมสเตย์ จนถึงวัดคันธาพฤษา 10.10 แวะถ่ายรูปชมวิว ไต่ต่อไปน้ำตกแม่กำปองแวะร้านชำตุนเสบียงโดยด่วน จากนี้ไปไต่กันยาวแล้ว
ร้านกาแฟสุดหรูซ่อนอยู่ในหุบเขา มีให้เห็นตลอดทาง
บ้านแม่กำปองบน เป็นจุดท่องเที่ยว มีร้านค้า ร้านกาแฟ แต่ก็ไม่เยอะมาก นักท่องเที่ยวยังน้อย การเดินทางลำบาก
กว่าจะไต่ขึ้นมาบนนี้ได้ ลำบากลำบน แต่ก็ขี่ขึ้นมาได้ตลอด ไม่ต้องเข็น
มันต้มร้อนๆครับ กำลังไล่ลงเพลินๆ หยุดแถบไม่ทัน



ช่วงนี้เป็นจุดศูนย์กลาง แหล่งท่องเที่ยวอยู๋แถวนี้ ผมเองก็ไม่ได้แวะชมอะไร เพราะที่เที่ยวแบบนี้ถือว่าไม่แปลกแล้ว 

หมู่บ้านเล็กๆซ่อนตัวอยู่ในขุนเขา ที่นี่ไม่มีอะไรเที่ยว แต่คนชอบมาเพราะอากาศเย็น



พ้นน้ำตกออกมาก็ ก็เจอเนินชันมาก ระยะทางแค่ประมาณ 3 กิโลจะถึงกิ่วฝิ่น ทางเริ่มชันมากขึ้นจนถึงป้ายเตือนเวลา 11.50 ตั้งแต่นั้นก็เข็นขึ้นตลอดทางประมาณเกือบสามกิโล ได้ไอ้หนุ่นรถเครื่องขี่ซ้อนกันมากับแฟน รถเครื่องขึ้นไม่ไหว ต้องจอดให้แฟนขี่มารอยอดเนิน เลยมาช่วยดันเราอีกสองเนิน ทำเอาหน้าซีดหมดแรง จะเป็นลมไปเลย

 ป้ายนี้แหละ ใครๆก็มาจอดเอาตรงนี้ ชันมากๆ นอกจากชันแล้วยังยาวอีก เริ่มเข็นกันจริงจังก็ตรงนี้เป็นต้นไป เบาะๆประมาณสามกิโล
ถอดบันไดออกเลย เข็นถนัดดี
วานคนอื่นถ่ายให้ ถ่ายไปขำไป




ถึงแล้ว ตั้งใจจะนอนหนาวที่นี่ซะหน่อย มาถึงเร็วเกิน เพิ่งจะบ่ายโมงกว่า ลงไปแช่น้ำร้อนข้างล่างดีกว่ามั้ง



12.40 ถึงจุดสูงสุด กิ่วฝิ่น หรือม่อนล้าน เป็นจุดกั้นระหว่างจังหวัดเชียงใหม่กับลำปาง จะนอนหนาวข้างบน หรือไปอาบน้ำอุ่นข้างล่างดี เวลายังเหลือเยอะเลย ตัดสินใจไปนอนที่แจ้ซ้อน ก็ต้องลงทางชันมาก เบรกไม่อยู่สุดท้ายต้องเข็นลงเกือบสองกิโล กว่าจะพอไหลลงได้ และจอดพักเบรกเป็นระยะๆ


ทริปนี้มีอย่างหนึ่งที่ทำเอาเซ็งมากๆ คือฟ้าไม่สวยเลย เมฆคลึ้มตลอด แต่ก็ดีไม่ร้อนเท่าไหร่

เก็บรูปเป็นที่ระลึกบ้าง ชาตินี้คงไม่ได้มาอีกแล้ว

ต่อตอนสองนะครับ กดเลย







No comments:

Post a Comment